
แผลกดทับ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวร่างกายน้อยหรือผู้ป่วยติดเตียง หากเกิดขึ้นแล้วจะสร้างความเจ็บปวด ทรมาน และอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่รุนแรงได้ การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสาเหตุ วิธีการป้องกัน และแนวทางการดูแลรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่เพื่อรักษาแผลให้หาย แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นตั้งแต่แรก บทความนี้จะรวบรวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ เพื่อให้เราสามารถดูแลผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แผลกดทับ (Pressure Ulcer หรือ Pressure Sore) คือ การบาดเจ็บของผิวหนังและเนื้อเยื่อที่อยู่ข้างใต้ ซึ่งเกิดจากการที่บริเวณดังกล่าวถูกแรงกดทับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวหนังได้ตามปกติ เซลล์จึงขาดออกซิเจนและสารอาหารจนเนื้อเยื่อค่อย ๆ ตายไปในที่สุด แผลกดทับมักเกิดขึ้นบริเวณปุ่มกระดูกต่าง ๆ เช่น ก้นกบ สะโพก ส้นเท้า และท้ายทอย ถือเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องป้องกันและดูแลอย่างใกล้ชิด
การเกิดแผลกดทับไม่ได้มีปัจจัยจากแรงกดเพียงอย่างเดียว แต่มีกลไกทางกายภาพหลายอย่างประกอบกัน ซึ่งเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำลายความแข็งแรงของผิวหนังและเนื้อเยื่อ สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดแผลกดทับมีดังนี้
นอกเหนือจากสาเหตุโดยตรงแล้ว ยังมีปัจจัยเสริมอีกหลายประการที่ทำให้บุคคลมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับสูงกว่าคนทั่วไป การเข้าใจปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถเฝ้าระวังและป้องกันได้ดียิ่งขึ้น
กลุ่มผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยอัมพาต หรือผู้ที่เคลื่อนไหวร่างกายเองไม่ได้ ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุดในการเกิดแผลกดทับ เนื่องจากไม่สามารถขยับตัว เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถหรือกระจายแรงกดทับได้ด้วยตนเอง ทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อในบริเวณที่รับน้ำหนักถูกกดทับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน หากมีการใช้เตียงผู้ป่วยก็จะช่วยให้การดูแล พลิกตัวง่ายขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว
ในผู้สูงอายุ ผิวหนังจะมีการเปลี่ยนแปลงตามวัย โดยจะบางลง ขาดความยืดหยุ่น มีชั้นไขมันใต้ผิวหนังลดน้อยลง ทำให้เกราะป้องกันผิวหนังและความสามารถในการทนทานต่อแรงกดทับลดลงตามไปด้วย ประกอบกับอาจมีโรคประจำตัวและการไหลเวียนเลือดที่ไม่ดี ทำให้เซลล์ผิวหนังฟื้นตัวได้ช้า ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับในผู้สูงอายุให้มีมากกว่าคนหนุ่มสาว
โภชนาการมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อความแข็งแรงของผิวหนัง ผู้ป่วยที่มีภาวะขาดสารอาหาร โดยเฉพาะโปรตีน วิตามินซี และสังกะสี จะทำให้การสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ไม่มีประสิทธิภาพ ผิวหนังจึงเปราะบางและฉีกขาดง่าย เมื่อเกิดบาดแผลเล็กน้อย ร่างกายก็ไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ดีเท่าที่ควร ทำให้แผลลุกลามและกลายเป็นแผลกดทับที่รุนแรงได้ในที่สุด
ผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัวหรือมีความบกพร่องทางระบบประสาท จะไม่สามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดหรือไม่สบายตัวซึ่งเป็นสัญญาณเตือนของร่างกายให้เปลี่ยนท่า เมื่อถูกกดทับนานเกินไป ส่วนภาวะควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ จะทำให้ผิวหนังสัมผัสกับความชื้น จากปัสสาวะหรืออุจจาระตลอดเวลา ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำลายผิวหนังให้อ่อนแอและเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับอย่างมาก
การจัดการกับปัญหาแผลกดทับ คือ การป้องกัน ซึ่งมีประสิทธิภาพและง่ายกว่าการรักษา เมื่อแผลเกิดขึ้นแล้ว การป้องกันต้องอาศัยความใส่ใจและการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอในหลาย ๆ ด้านประกอบกัน
การลดแรงกดทับเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด สำหรับผู้ป่วยติดเตียง ควรได้รับการพลิกตะแคงตัวอย่างน้อยทุก ๆ 2 ชั่วโมง สลับระหว่างนอนหงายและนอนตะแคงซ้าย-ขวา ส่วนผู้ป่วยที่นั่งรถเข็น ควรมีการขยับตัวหรือยกก้นเพื่อลดแรงกดทุก ๆ 1 ชั่วโมง การเปลี่ยนท่าทางอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เลือดกลับมาไหลเวียนเลี้ยงผิวหนังได้อีกครั้ง ป้องกันการเกิดแผลกดทับ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การรักษาความสะอาดของผิวหนังเป็นพื้นฐานสำคัญในการป้องกันแผลกดทับ ควรทำความสะอาดผิวหนังด้วยสบู่อ่อน ๆ และน้ำอุ่น ซับเบา ๆ ให้แห้งสนิทโดยหลีกเลี่ยงการถูแรง ๆ หากผิวแห้งควรทาโลชั่น เพื่อให้ความชุ่มชื้น ในผู้ป่วยที่มีภาวะควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ต้องรีบทำความสะอาดและเปลี่ยนผ้าอ้อมทันที เพื่อลดการสัมผัสความชื้น
ปัจจุบันมีอุปกรณ์เสริมมากมาย ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยกระจายแรงกดทับและป้องกันแผลกดทับ การเลือกใช้อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดได้ ไปดูกันว่ามีอุปกรณ์อะไรน่าสนใจบ้าง
การได้รับสารอาหารที่เพียงพอ โดยเฉพาะอาหารกลุ่มโปรตีน วิตามินเอ วิตามินซี และแร่ธาตุสังกะสี จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผิวหนัง และส่งเสริมกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ การดื่มน้ำให้เพียงพอก็สำคัญเช่นกัน เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวจากภายใน การดูแลโภชนาการที่ดีจึงเปรียบเสมือนการสร้างเกราะป้องกันแผลกดทับ จากภายในร่างกาย
ผู้ดูแลควรตรวจสภาพผิวหนังของผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงทุกวัน โดยเฉพาะบริเวณปุ่มกระดูกต่าง ๆ ที่มักเกิดแผลกดทับได้ง่าย เช่น ก้นกบ สะโพก ส้นเท้า ข้อศอก และท้ายทอย มองหาร่องรอยความผิดปกติ เช่น รอยแดงที่กดแล้วไม่จาง ผิวหนังที่แข็งหรืออุ่นกว่าปกติ หากพบสัญญาณเริ่มต้น ควรรีบใช้มาตรการป้องกันอย่างเพื่อไม่ให้แผลลุกลาม
แผลกดทับเป็นภาวะที่ป้องกันได้ หากมีความเข้าใจในสาเหตุและปัจจัยเสี่ยง การดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม ที่เน้นการลดแรงกดทับด้วยการเปลี่ยนท่าทางอย่างสม่ำเสมอ การดูแลผิวหนังให้สะอาดและแข็งแรง การจัดหาอุปกรณ์ช่วยลดแรงกดทับที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการใส่ใจด้านโภชนาการและการตรวจเช็กผิวหนังทุกวัน คือวิธีการดูแลผู้ป่วยที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับปัญหาแผลกดทับ การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงและรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยไว้ได้
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
LINE: @medilawellness
Facebook: Medila Health Care ศูนย์รวมสินค้าสุขภาพและเครื่องมือแพทย์
โทร: 088 098 4999 – ศูนย์บริการ
โทร: 080 056 7744 – ติดต่อเป็นตัวแทนจำหน่าย



แผลกดทับ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวร่างกายน้อยหรือผู้ป่วยติดเตียง หากเกิดขึ้นแล้วจะสร้างความเจ็บปวด ทรมาน และอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่รุนแรงได้ การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสาเหตุ วิธีการป้องกัน และแนวทางการดูแลรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่เพื่อรักษาแผลให้หาย แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นตั้งแต่แรก บทความนี้จะรวบรวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ เพื่อให้เราสามารถดูแลผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แผลกดทับ (Pressure Ulcer หรือ Pressure Sore) คือ การบาดเจ็บของผิวหนังและเนื้อเยื่อที่อยู่ข้างใต้ ซึ่งเกิดจากการที่บริเวณดังกล่าวถูกแรงกดทับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวหนังได้ตามปกติ เซลล์จึงขาดออกซิเจนและสารอาหารจนเนื้อเยื่อค่อย ๆ ตายไปในที่สุด แผลกดทับมักเกิดขึ้นบริเวณปุ่มกระดูกต่าง ๆ เช่น ก้นกบ สะโพก ส้นเท้า และท้ายทอย ถือเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องป้องกันและดูแลอย่างใกล้ชิด
การเกิดแผลกดทับไม่ได้มีปัจจัยจากแรงกดเพียงอย่างเดียว แต่มีกลไกทางกายภาพหลายอย่างประกอบกัน ซึ่งเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำลายความแข็งแรงของผิวหนังและเนื้อเยื่อ สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดแผลกดทับมีดังนี้
นอกเหนือจากสาเหตุโดยตรงแล้ว ยังมีปัจจัยเสริมอีกหลายประการที่ทำให้บุคคลมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับสูงกว่าคนทั่วไป การเข้าใจปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถเฝ้าระวังและป้องกันได้ดียิ่งขึ้น
กลุ่มผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยอัมพาต หรือผู้ที่เคลื่อนไหวร่างกายเองไม่ได้ ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุดในการเกิดแผลกดทับ เนื่องจากไม่สามารถขยับตัว เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถหรือกระจายแรงกดทับได้ด้วยตนเอง ทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อในบริเวณที่รับน้ำหนักถูกกดทับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน หากมีการใช้เตียงผู้ป่วยก็จะช่วยให้การดูแล พลิกตัวง่ายขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว
ในผู้สูงอายุ ผิวหนังจะมีการเปลี่ยนแปลงตามวัย โดยจะบางลง ขาดความยืดหยุ่น มีชั้นไขมันใต้ผิวหนังลดน้อยลง ทำให้เกราะป้องกันผิวหนังและความสามารถในการทนทานต่อแรงกดทับลดลงตามไปด้วย ประกอบกับอาจมีโรคประจำตัวและการไหลเวียนเลือดที่ไม่ดี ทำให้เซลล์ผิวหนังฟื้นตัวได้ช้า ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับในผู้สูงอายุให้มีมากกว่าคนหนุ่มสาว
โภชนาการมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อความแข็งแรงของผิวหนัง ผู้ป่วยที่มีภาวะขาดสารอาหาร โดยเฉพาะโปรตีน วิตามินซี และสังกะสี จะทำให้การสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ไม่มีประสิทธิภาพ ผิวหนังจึงเปราะบางและฉีกขาดง่าย เมื่อเกิดบาดแผลเล็กน้อย ร่างกายก็ไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ดีเท่าที่ควร ทำให้แผลลุกลามและกลายเป็นแผลกดทับที่รุนแรงได้ในที่สุด
ผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัวหรือมีความบกพร่องทางระบบประสาท จะไม่สามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดหรือไม่สบายตัวซึ่งเป็นสัญญาณเตือนของร่างกายให้เปลี่ยนท่า เมื่อถูกกดทับนานเกินไป ส่วนภาวะควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ จะทำให้ผิวหนังสัมผัสกับความชื้น จากปัสสาวะหรืออุจจาระตลอดเวลา ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำลายผิวหนังให้อ่อนแอและเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับอย่างมาก
การจัดการกับปัญหาแผลกดทับ คือ การป้องกัน ซึ่งมีประสิทธิภาพและง่ายกว่าการรักษา เมื่อแผลเกิดขึ้นแล้ว การป้องกันต้องอาศัยความใส่ใจและการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอในหลาย ๆ ด้านประกอบกัน
การลดแรงกดทับเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด สำหรับผู้ป่วยติดเตียง ควรได้รับการพลิกตะแคงตัวอย่างน้อยทุก ๆ 2 ชั่วโมง สลับระหว่างนอนหงายและนอนตะแคงซ้าย-ขวา ส่วนผู้ป่วยที่นั่งรถเข็น ควรมีการขยับตัวหรือยกก้นเพื่อลดแรงกดทุก ๆ 1 ชั่วโมง การเปลี่ยนท่าทางอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เลือดกลับมาไหลเวียนเลี้ยงผิวหนังได้อีกครั้ง ป้องกันการเกิดแผลกดทับ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การรักษาความสะอาดของผิวหนังเป็นพื้นฐานสำคัญในการป้องกันแผลกดทับ ควรทำความสะอาดผิวหนังด้วยสบู่อ่อน ๆ และน้ำอุ่น ซับเบา ๆ ให้แห้งสนิทโดยหลีกเลี่ยงการถูแรง ๆ หากผิวแห้งควรทาโลชั่น เพื่อให้ความชุ่มชื้น ในผู้ป่วยที่มีภาวะควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ต้องรีบทำความสะอาดและเปลี่ยนผ้าอ้อมทันที เพื่อลดการสัมผัสความชื้น
ปัจจุบันมีอุปกรณ์เสริมมากมาย ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยกระจายแรงกดทับและป้องกันแผลกดทับ การเลือกใช้อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดได้ ไปดูกันว่ามีอุปกรณ์อะไรน่าสนใจบ้าง
การได้รับสารอาหารที่เพียงพอ โดยเฉพาะอาหารกลุ่มโปรตีน วิตามินเอ วิตามินซี และแร่ธาตุสังกะสี จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผิวหนัง และส่งเสริมกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ การดื่มน้ำให้เพียงพอก็สำคัญเช่นกัน เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวจากภายใน การดูแลโภชนาการที่ดีจึงเปรียบเสมือนการสร้างเกราะป้องกันแผลกดทับ จากภายในร่างกาย
ผู้ดูแลควรตรวจสภาพผิวหนังของผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงทุกวัน โดยเฉพาะบริเวณปุ่มกระดูกต่าง ๆ ที่มักเกิดแผลกดทับได้ง่าย เช่น ก้นกบ สะโพก ส้นเท้า ข้อศอก และท้ายทอย มองหาร่องรอยความผิดปกติ เช่น รอยแดงที่กดแล้วไม่จาง ผิวหนังที่แข็งหรืออุ่นกว่าปกติ หากพบสัญญาณเริ่มต้น ควรรีบใช้มาตรการป้องกันอย่างเพื่อไม่ให้แผลลุกลาม
แผลกดทับเป็นภาวะที่ป้องกันได้ หากมีความเข้าใจในสาเหตุและปัจจัยเสี่ยง การดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม ที่เน้นการลดแรงกดทับด้วยการเปลี่ยนท่าทางอย่างสม่ำเสมอ การดูแลผิวหนังให้สะอาดและแข็งแรง การจัดหาอุปกรณ์ช่วยลดแรงกดทับที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการใส่ใจด้านโภชนาการและการตรวจเช็กผิวหนังทุกวัน คือวิธีการดูแลผู้ป่วยที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับปัญหาแผลกดทับ การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงและรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยไว้ได้
Medila Wellness ศูนย์รวมรถเข็นวีลแชร์และของใช้เพื่อสุขภาพ
© 2025, Medila. All rights reserved