ศูนย์รวมรถเข็นวีลแชร์และของใช้เพื่อสุขภาพ

แชร์เคล็ดลับการดูแลผู้ป่วยแผลกดทับ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

แชร์เคล็ดลับการดูแลผู้ป่วยแผลกดทับ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

แผลกดทับ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวร่างกายน้อยหรือผู้ป่วยติดเตียง หากเกิดขึ้นแล้วจะสร้างความเจ็บปวด ทรมาน และอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่รุนแรงได้ การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสาเหตุ วิธีการป้องกัน และแนวทางการดูแลรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่เพื่อรักษาแผลให้หาย แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นตั้งแต่แรก บทความนี้จะรวบรวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ เพื่อให้เราสามารถดูแลผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แผลกดทับคืออะไร

แผลกดทับ (Pressure Ulcer หรือ Pressure Sore) คือ การบาดเจ็บของผิวหนังและเนื้อเยื่อที่อยู่ข้างใต้ ซึ่งเกิดจากการที่บริเวณดังกล่าวถูกแรงกดทับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวหนังได้ตามปกติ เซลล์จึงขาดออกซิเจนและสารอาหารจนเนื้อเยื่อค่อย ๆ ตายไปในที่สุด แผลกดทับมักเกิดขึ้นบริเวณปุ่มกระดูกต่าง ๆ เช่น ก้นกบ สะโพก ส้นเท้า และท้ายทอย ถือเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องป้องกันและดูแลอย่างใกล้ชิด

สาเหตุหลักของการเกิดแผลกดทับ

สาเหตุหลักของการเกิดแผลกดทับ

การเกิดแผลกดทับไม่ได้มีปัจจัยจากแรงกดเพียงอย่างเดียว แต่มีกลไกทางกายภาพหลายอย่างประกอบกัน ซึ่งเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำลายความแข็งแรงของผิวหนังและเนื้อเยื่อ สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดแผลกดทับมีดังนี้

  • แรงกดทับ : เมื่อผู้ป่วยที่เคลืื่อนไหวได้น้อย หรือผู้ป่วยติดเตียง จะทำให้น้ำหนักตัวที่กดลงบนผิวหนัง ณ จุดใดจุดหนึ่งเป็นเวลานาน โดยเฉพาะบริเวณปุ่มกระดูก แรงกดนี้จะไปบีบหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนเลือดหยุดชะงัก เนื้อเยื่อจึงถูกทำลายและเกิดเป็นแผลกดทับ
  • แรงเฉือน : เกิดขึ้นเมื่อผิวหนังถูกดึงรั้งไปในทิศทางหนึ่ง ขณะที่โครงสร้างกระดูกด้านในยังคงอยู่กับที่ เช่น การปรับเตียงให้สูงขึ้นแล้วผู้ป่วยไถลตัวลง แรงเฉือนจะทำให้เนื้อเยื่อและหลอดเลือดใต้ผิวหนังถูกยืดและฉีกขาดได้ง่าย ทำให้เกิดแผลกดทับได้แม้แรงกดจะไม่มาก
  • แรงเสียดสี : การที่ผิวหนังเสียดสีกับพื้นผิวภายนอก เช่น ผ้าปูที่นอนหรือเสื้อผ้า การเสียดสีจะทำลายผิวหนังชั้นนอก ทำให้ผิวบางลงและอ่อนแอลง ทำให้เกิดการบาดเจ็บและพัฒนาไปเป็นแผลกดทับได้ง่ายขึ้น
  • ความอับชื้น : ผิวหนังที่เปียกชื้นเป็นเวลานานจากเหงื่อ ปัสสาวะ หรืออุจจาระ จะทำให้โครงสร้างผิวหนังเปื่อยยุ่ยและอ่อนแอลง ส่งผลให้สูญเสียความเป็นเกราะป้องกันตามธรรมชาติ ทำให้ผิวหนังถูกทำลายจากแรงกดทับและแรงเสียดสีได้ง่ายกว่าปกติ

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดแผลกดทับ

นอกเหนือจากสาเหตุโดยตรงแล้ว ยังมีปัจจัยเสริมอีกหลายประการที่ทำให้บุคคลมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับสูงกว่าคนทั่วไป การเข้าใจปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถเฝ้าระวังและป้องกันได้ดียิ่งขึ้น

ผู้ป่วยติดเตียงหรือเคลื่อนไหวลำบาก

กลุ่มผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยอัมพาต หรือผู้ที่เคลื่อนไหวร่างกายเองไม่ได้ ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุดในการเกิดแผลกดทับ เนื่องจากไม่สามารถขยับตัว เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถหรือกระจายแรงกดทับได้ด้วยตนเอง ทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อในบริเวณที่รับน้ำหนักถูกกดทับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน หากมีการใช้เตียงผู้ป่วยก็จะช่วยให้การดูแล พลิกตัวง่ายขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว

ผู้สูงอายุ

ในผู้สูงอายุ ผิวหนังจะมีการเปลี่ยนแปลงตามวัย โดยจะบางลง ขาดความยืดหยุ่น มีชั้นไขมันใต้ผิวหนังลดน้อยลง ทำให้เกราะป้องกันผิวหนังและความสามารถในการทนทานต่อแรงกดทับลดลงตามไปด้วย ประกอบกับอาจมีโรคประจำตัวและการไหลเวียนเลือดที่ไม่ดี ทำให้เซลล์ผิวหนังฟื้นตัวได้ช้า ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับในผู้สูงอายุให้มีมากกว่าคนหนุ่มสาว

ภาวะขาดสารอาหาร

โภชนาการมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อความแข็งแรงของผิวหนัง ผู้ป่วยที่มีภาวะขาดสารอาหาร โดยเฉพาะโปรตีน วิตามินซี และสังกะสี จะทำให้การสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ไม่มีประสิทธิภาพ ผิวหนังจึงเปราะบางและฉีกขาดง่าย เมื่อเกิดบาดแผลเล็กน้อย ร่างกายก็ไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ดีเท่าที่ควร ทำให้แผลลุกลามและกลายเป็นแผลกดทับที่รุนแรงได้ในที่สุด

ภาวะไม่รู้สึกตัว หรือภาวะควบคุมการขับถ่ายไม่ได้

ผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัวหรือมีความบกพร่องทางระบบประสาท จะไม่สามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดหรือไม่สบายตัวซึ่งเป็นสัญญาณเตือนของร่างกายให้เปลี่ยนท่า เมื่อถูกกดทับนานเกินไป ส่วนภาวะควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ จะทำให้ผิวหนังสัมผัสกับความชื้น จากปัสสาวะหรืออุจจาระตลอดเวลา ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำลายผิวหนังให้อ่อนแอและเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับอย่างมาก

แผลกดทับมีกี่ระดับ

แผลกดทับมีกี่ระดับ
  • แผลกดทับ ระยะที่ 1 : ผิวหนังยังไม่เปิดหรือฉีกขาด แต่มีรอยแดงหรือสีผิวที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อใช้นิ้วกดแล้วรอยแดงนั้นไม่จางหายไป อาจมีอาการเจ็บ ปวด หรือรู้สึกอุ่นกว่าผิวหนังบริเวณอื่น
  • แผลกดทับ ระยะที่ 2 : ผิวหนังถูกทำลายบางส่วน เกิดเป็นแผลตื้น ๆ อาจมีลักษณะเป็นรอยถลอก ตุ่มน้ำพองใส หรือแผลเปิดที่เห็นผิวหนังชั้นในสีชมพูหรือแดง เป็นระยะที่เริ่มมีความเจ็บปวดมากขึ้น
  • แผลกดทับ ระยะที่ 3 : แผลลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ผิวหนังทั้งหมดถูกทำลาย ทำให้แผลมีลักษณะเป็นหลุมหรือโพรง อาจมองเห็นเนื้อเยื่อไขมันสีเหลือง แต่ยังไม่ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อหรือกระดูก
  • แผลกดทับ ระยะที่ 4 : เป็นระดับที่รุนแรงที่สุด แผลลึกมากจนมองเห็นกล้ามเนื้อ เอ็น หรือกระดูกได้ เนื้อเยื่อบริเวณกว้างถูกทำลาย มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อรุนแรงที่อาจลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดได้

วิธีป้องกันแผลกดทับที่มีประสิทธิภาพ

วิธีป้องกันแผลกดทับที่มีประสิทธิภาพ

การจัดการกับปัญหาแผลกดทับ คือ การป้องกัน ซึ่งมีประสิทธิภาพและง่ายกว่าการรักษา เมื่อแผลเกิดขึ้นแล้ว การป้องกันต้องอาศัยความใส่ใจและการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอในหลาย ๆ ด้านประกอบกัน

การพลิกตัวและเปลี่ยนท่า

การลดแรงกดทับเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด สำหรับผู้ป่วยติดเตียง ควรได้รับการพลิกตะแคงตัวอย่างน้อยทุก ๆ 2 ชั่วโมง สลับระหว่างนอนหงายและนอนตะแคงซ้าย-ขวา ส่วนผู้ป่วยที่นั่งรถเข็น ควรมีการขยับตัวหรือยกก้นเพื่อลดแรงกดทุก ๆ 1 ชั่วโมง การเปลี่ยนท่าทางอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เลือดกลับมาไหลเวียนเลี้ยงผิวหนังได้อีกครั้ง ป้องกันการเกิดแผลกดทับ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การดูแลผิวหนังให้สะอาดและแห้ง

การรักษาความสะอาดของผิวหนังเป็นพื้นฐานสำคัญในการป้องกันแผลกดทับ ควรทำความสะอาดผิวหนังด้วยสบู่อ่อน ๆ  และน้ำอุ่น ซับเบา ๆ ให้แห้งสนิทโดยหลีกเลี่ยงการถูแรง ๆ หากผิวแห้งควรทาโลชั่น เพื่อให้ความชุ่มชื้น ในผู้ป่วยที่มีภาวะควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ต้องรีบทำความสะอาดและเปลี่ยนผ้าอ้อมทันที เพื่อลดการสัมผัสความชื้น

การเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันแผลกดทับ

ปัจจุบันมีอุปกรณ์เสริมมากมาย ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยกระจายแรงกดทับและป้องกันแผลกดทับ การเลือกใช้อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดได้ ไปดูกันว่ามีอุปกรณ์อะไรน่าสนใจบ้าง 

  • ที่นอนลม จะสลับการยุบพองของลอนที่นอนเพื่อเปลี่ยนจุดรับน้ำหนักเบาะรองนั่งชนิดพิเศษสำหรับรถเข็น
  • แผ่นโฟม หรือหมอนสำหรับใช้รองตามปุ่มกระดูกต่าง ๆ เช่น ใต้เข่า หรือระหว่างข้อเท้า เพื่อไม่ให้กระดูกกดทับกันเอง

การดูแลโภชนาการที่เหมาะสม

การได้รับสารอาหารที่เพียงพอ โดยเฉพาะอาหารกลุ่มโปรตีน วิตามินเอ วิตามินซี และแร่ธาตุสังกะสี จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผิวหนัง และส่งเสริมกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ การดื่มน้ำให้เพียงพอก็สำคัญเช่นกัน เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวจากภายใน การดูแลโภชนาการที่ดีจึงเปรียบเสมือนการสร้างเกราะป้องกันแผลกดทับ จากภายในร่างกาย

การตรวจเช็กผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ

ผู้ดูแลควรตรวจสภาพผิวหนังของผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงทุกวัน โดยเฉพาะบริเวณปุ่มกระดูกต่าง ๆ ที่มักเกิดแผลกดทับได้ง่าย เช่น ก้นกบ สะโพก ส้นเท้า ข้อศอก และท้ายทอย มองหาร่องรอยความผิดปกติ เช่น รอยแดงที่กดแล้วไม่จาง ผิวหนังที่แข็งหรืออุ่นกว่าปกติ หากพบสัญญาณเริ่มต้น ควรรีบใช้มาตรการป้องกันอย่างเพื่อไม่ให้แผลลุกลาม

สรุป

แผลกดทับเป็นภาวะที่ป้องกันได้ หากมีความเข้าใจในสาเหตุและปัจจัยเสี่ยง การดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม ที่เน้นการลดแรงกดทับด้วยการเปลี่ยนท่าทางอย่างสม่ำเสมอ การดูแลผิวหนังให้สะอาดและแข็งแรง การจัดหาอุปกรณ์ช่วยลดแรงกดทับที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการใส่ใจด้านโภชนาการและการตรวจเช็กผิวหนังทุกวัน คือวิธีการดูแลผู้ป่วยที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับปัญหาแผลกดทับ การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงและรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยไว้ได้

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

LINE: @medilawellness
Facebook: Medila Health Care ศูนย์รวมสินค้าสุขภาพและเครื่องมือแพทย์
โทร: 088 098 4999 – ศูนย์บริการ
โทร: 080 056 7744 – ติดต่อเป็นตัวแทนจำหน่าย

แผลกดทับ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวร่างกายน้อยหรือผู้ป่วยติดเตียง หากเกิดขึ้นแล้วจะสร้างความเจ็บปวด ทรมาน และอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่รุนแรงได้ การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสาเหตุ วิธีการป้องกัน และแนวทางการดูแลรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่เพื่อรักษาแผลให้หาย แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นตั้งแต่แรก บทความนี้จะรวบรวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ เพื่อให้เราสามารถดูแลผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แผลกดทับคืออะไร

แผลกดทับ (Pressure Ulcer หรือ Pressure Sore) คือ การบาดเจ็บของผิวหนังและเนื้อเยื่อที่อยู่ข้างใต้ ซึ่งเกิดจากการที่บริเวณดังกล่าวถูกแรงกดทับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวหนังได้ตามปกติ เซลล์จึงขาดออกซิเจนและสารอาหารจนเนื้อเยื่อค่อย ๆ ตายไปในที่สุด แผลกดทับมักเกิดขึ้นบริเวณปุ่มกระดูกต่าง ๆ เช่น ก้นกบ สะโพก ส้นเท้า และท้ายทอย ถือเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องป้องกันและดูแลอย่างใกล้ชิด

สาเหตุหลักของการเกิดแผลกดทับ

การเกิดแผลกดทับไม่ได้มีปัจจัยจากแรงกดเพียงอย่างเดียว แต่มีกลไกทางกายภาพหลายอย่างประกอบกัน ซึ่งเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำลายความแข็งแรงของผิวหนังและเนื้อเยื่อ สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดแผลกดทับมีดังนี้

  • แรงกดทับ : เมื่อผู้ป่วยที่เคลืื่อนไหวได้น้อย หรือผู้ป่วยติดเตียง จะทำให้น้ำหนักตัวที่กดลงบนผิวหนัง ณ จุดใดจุดหนึ่งเป็นเวลานาน โดยเฉพาะบริเวณปุ่มกระดูก แรงกดนี้จะไปบีบหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนเลือดหยุดชะงัก เนื้อเยื่อจึงถูกทำลายและเกิดเป็นแผลกดทับ
  • แรงเฉือน : เกิดขึ้นเมื่อผิวหนังถูกดึงรั้งไปในทิศทางหนึ่ง ขณะที่โครงสร้างกระดูกด้านในยังคงอยู่กับที่ เช่น การปรับเตียงให้สูงขึ้นแล้วผู้ป่วยไถลตัวลง แรงเฉือนจะทำให้เนื้อเยื่อและหลอดเลือดใต้ผิวหนังถูกยืดและฉีกขาดได้ง่าย ทำให้เกิดแผลกดทับได้แม้แรงกดจะไม่มาก
  • แรงเสียดสี : การที่ผิวหนังเสียดสีกับพื้นผิวภายนอก เช่น ผ้าปูที่นอนหรือเสื้อผ้า การเสียดสีจะทำลายผิวหนังชั้นนอก ทำให้ผิวบางลงและอ่อนแอลง ทำให้เกิดการบาดเจ็บและพัฒนาไปเป็นแผลกดทับได้ง่ายขึ้น
  • ความอับชื้น : ผิวหนังที่เปียกชื้นเป็นเวลานานจากเหงื่อ ปัสสาวะ หรืออุจจาระ จะทำให้โครงสร้างผิวหนังเปื่อยยุ่ยและอ่อนแอลง ส่งผลให้สูญเสียความเป็นเกราะป้องกันตามธรรมชาติ ทำให้ผิวหนังถูกทำลายจากแรงกดทับและแรงเสียดสีได้ง่ายกว่าปกติ

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดแผลกดทับ

นอกเหนือจากสาเหตุโดยตรงแล้ว ยังมีปัจจัยเสริมอีกหลายประการที่ทำให้บุคคลมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับสูงกว่าคนทั่วไป การเข้าใจปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถเฝ้าระวังและป้องกันได้ดียิ่งขึ้น

ผู้ป่วยติดเตียงหรือเคลื่อนไหวลำบาก

กลุ่มผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยอัมพาต หรือผู้ที่เคลื่อนไหวร่างกายเองไม่ได้ ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุดในการเกิดแผลกดทับ เนื่องจากไม่สามารถขยับตัว เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถหรือกระจายแรงกดทับได้ด้วยตนเอง ทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อในบริเวณที่รับน้ำหนักถูกกดทับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน หากมีการใช้เตียงผู้ป่วยก็จะช่วยให้การดูแล พลิกตัวง่ายขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว

ผู้สูงอายุ

ในผู้สูงอายุ ผิวหนังจะมีการเปลี่ยนแปลงตามวัย โดยจะบางลง ขาดความยืดหยุ่น มีชั้นไขมันใต้ผิวหนังลดน้อยลง ทำให้เกราะป้องกันผิวหนังและความสามารถในการทนทานต่อแรงกดทับลดลงตามไปด้วย ประกอบกับอาจมีโรคประจำตัวและการไหลเวียนเลือดที่ไม่ดี ทำให้เซลล์ผิวหนังฟื้นตัวได้ช้า ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับในผู้สูงอายุให้มีมากกว่าคนหนุ่มสาว

ภาวะขาดสารอาหาร

โภชนาการมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อความแข็งแรงของผิวหนัง ผู้ป่วยที่มีภาวะขาดสารอาหาร โดยเฉพาะโปรตีน วิตามินซี และสังกะสี จะทำให้การสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ไม่มีประสิทธิภาพ ผิวหนังจึงเปราะบางและฉีกขาดง่าย เมื่อเกิดบาดแผลเล็กน้อย ร่างกายก็ไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ดีเท่าที่ควร ทำให้แผลลุกลามและกลายเป็นแผลกดทับที่รุนแรงได้ในที่สุด

ภาวะไม่รู้สึกตัว หรือภาวะควบคุมการขับถ่ายไม่ได้

ผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัวหรือมีความบกพร่องทางระบบประสาท จะไม่สามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดหรือไม่สบายตัวซึ่งเป็นสัญญาณเตือนของร่างกายให้เปลี่ยนท่า เมื่อถูกกดทับนานเกินไป ส่วนภาวะควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ จะทำให้ผิวหนังสัมผัสกับความชื้น จากปัสสาวะหรืออุจจาระตลอดเวลา ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำลายผิวหนังให้อ่อนแอและเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับอย่างมาก

แผลกดทับมีกี่ระดับ

  • แผลกดทับ ระยะที่ 1 : ผิวหนังยังไม่เปิดหรือฉีกขาด แต่มีรอยแดงหรือสีผิวที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อใช้นิ้วกดแล้วรอยแดงนั้นไม่จางหายไป อาจมีอาการเจ็บ ปวด หรือรู้สึกอุ่นกว่าผิวหนังบริเวณอื่น
  • แผลกดทับ ระยะที่ 2 : ผิวหนังถูกทำลายบางส่วน เกิดเป็นแผลตื้น ๆ อาจมีลักษณะเป็นรอยถลอก ตุ่มน้ำพองใส หรือแผลเปิดที่เห็นผิวหนังชั้นในสีชมพูหรือแดง เป็นระยะที่เริ่มมีความเจ็บปวดมากขึ้น
  • แผลกดทับ ระยะที่ 3 : แผลลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ผิวหนังทั้งหมดถูกทำลาย ทำให้แผลมีลักษณะเป็นหลุมหรือโพรง อาจมองเห็นเนื้อเยื่อไขมันสีเหลือง แต่ยังไม่ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อหรือกระดูก
  • แผลกดทับ ระยะที่ 4 : เป็นระดับที่รุนแรงที่สุด แผลลึกมากจนมองเห็นกล้ามเนื้อ เอ็น หรือกระดูกได้ เนื้อเยื่อบริเวณกว้างถูกทำลาย มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อรุนแรงที่อาจลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดได้

วิธีป้องกันแผลกดทับที่มีประสิทธิภาพ

การจัดการกับปัญหาแผลกดทับ คือ การป้องกัน ซึ่งมีประสิทธิภาพและง่ายกว่าการรักษา เมื่อแผลเกิดขึ้นแล้ว การป้องกันต้องอาศัยความใส่ใจและการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอในหลาย ๆ ด้านประกอบกัน

การพลิกตัวและเปลี่ยนท่า

การลดแรงกดทับเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด สำหรับผู้ป่วยติดเตียง ควรได้รับการพลิกตะแคงตัวอย่างน้อยทุก ๆ 2 ชั่วโมง สลับระหว่างนอนหงายและนอนตะแคงซ้าย-ขวา ส่วนผู้ป่วยที่นั่งรถเข็น ควรมีการขยับตัวหรือยกก้นเพื่อลดแรงกดทุก ๆ 1 ชั่วโมง การเปลี่ยนท่าทางอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เลือดกลับมาไหลเวียนเลี้ยงผิวหนังได้อีกครั้ง ป้องกันการเกิดแผลกดทับ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การดูแลผิวหนังให้สะอาดและแห้ง

การรักษาความสะอาดของผิวหนังเป็นพื้นฐานสำคัญในการป้องกันแผลกดทับ ควรทำความสะอาดผิวหนังด้วยสบู่อ่อน ๆ  และน้ำอุ่น ซับเบา ๆ ให้แห้งสนิทโดยหลีกเลี่ยงการถูแรง ๆ หากผิวแห้งควรทาโลชั่น เพื่อให้ความชุ่มชื้น ในผู้ป่วยที่มีภาวะควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ต้องรีบทำความสะอาดและเปลี่ยนผ้าอ้อมทันที เพื่อลดการสัมผัสความชื้น 

การเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันแผลกดทับ

ปัจจุบันมีอุปกรณ์เสริมมากมาย ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยกระจายแรงกดทับและป้องกันแผลกดทับ การเลือกใช้อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดได้ ไปดูกันว่ามีอุปกรณ์อะไรน่าสนใจบ้าง 

  • ที่นอนลม จะสลับการยุบพองของลอนที่นอนเพื่อเปลี่ยนจุดรับน้ำหนักเบาะรองนั่งชนิดพิเศษสำหรับรถเข็น
  • แผ่นโฟม หรือหมอนสำหรับใช้รองตามปุ่มกระดูกต่าง ๆ เช่น ใต้เข่า หรือระหว่างข้อเท้า เพื่อไม่ให้กระดูกกดทับกันเอง 

การดูแลโภชนาการที่เหมาะสม

การได้รับสารอาหารที่เพียงพอ โดยเฉพาะอาหารกลุ่มโปรตีน วิตามินเอ วิตามินซี และแร่ธาตุสังกะสี จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผิวหนัง และส่งเสริมกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ การดื่มน้ำให้เพียงพอก็สำคัญเช่นกัน เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวจากภายใน การดูแลโภชนาการที่ดีจึงเปรียบเสมือนการสร้างเกราะป้องกันแผลกดทับ จากภายในร่างกาย

การตรวจเช็กผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ

ผู้ดูแลควรตรวจสภาพผิวหนังของผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงทุกวัน โดยเฉพาะบริเวณปุ่มกระดูกต่าง ๆ ที่มักเกิดแผลกดทับได้ง่าย เช่น ก้นกบ สะโพก ส้นเท้า ข้อศอก และท้ายทอย มองหาร่องรอยความผิดปกติ เช่น รอยแดงที่กดแล้วไม่จาง ผิวหนังที่แข็งหรืออุ่นกว่าปกติ หากพบสัญญาณเริ่มต้น ควรรีบใช้มาตรการป้องกันอย่างเพื่อไม่ให้แผลลุกลาม

สรุป

แผลกดทับเป็นภาวะที่ป้องกันได้ หากมีความเข้าใจในสาเหตุและปัจจัยเสี่ยง การดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม ที่เน้นการลดแรงกดทับด้วยการเปลี่ยนท่าทางอย่างสม่ำเสมอ การดูแลผิวหนังให้สะอาดและแข็งแรง การจัดหาอุปกรณ์ช่วยลดแรงกดทับที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการใส่ใจด้านโภชนาการและการตรวจเช็กผิวหนังทุกวัน คือวิธีการดูแลผู้ป่วยที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับปัญหาแผลกดทับ การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงและรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยไว้ได้